ขั้นตอนที่ 1 เลือกหัวข้อและเขียนสิ่งที่คุณรู้ลงไป
เลือกด้านของการเทรดที่คุณต้องการเชี่ยวชาญ ซึ่งอาจเป็น:
RSI
Moving averages
รูปแบบ Inside Bar
กฎการจัดการความเสี่ยง
แต่ให้ระบุให้ชัดเจน: แทนที่จะใช้คำว่า "การวิเคราะห์ทางเทคนิค" ให้เขียนเป็น "ระดับแนวรับและแนวต้าน" จากนั้นเขียนทุกอย่างที่คุณจำได้ว่ามันคืออะไร มันทำงานอย่างไร และเมื่อไหร่ควรใช้ อย่ากังวลกับความผิดพลาด แค่ปลดปล่อยสิ่งที่อยู่ในหัวของคุณออกมา
เพราะอะไรถึงได้ผล: วิธีนี้จะเผยให้เห็นช่องว่างทันที คุณจะเห็นความแตกต่างระหว่างการรู้ชื่อและการเข้าใจหลักการ
ทำเดี๋ยวนี้เลย:
ขั้นตอนที่ 2 อธิบายให้ฟังด้วยคำที่เข้าใจง่าย ๆ
ตอนนี้ลองนึกภาพว่าคุณกำลังอธิบายเครื่องมือนี้ให้เพื่อนฟัง ซึ่งเพิ่งเปิดบัญชีทดลอง ใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย หลีกเลี่ยงศัพท์เฉพาะหรือสูตรที่ซับซ้อน ตัวอย่างเช่น: "การตั้งจุดตัดขาดทุนก็เหมือนกับตาข่ายนิรภัย มันจะปิดการซื้อขายของคุณโดยอัตโนมัติหากราคาเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่ไม่ถูกต้อง เพื่อที่คุณจะได้ไม่สูญเสียเงินมากเกินไป"
เพราะอะไรถึงได้ผล: ความเรียบง่ายแสดงให้เห็นถึงความเข้าใจ หากคุณไม่สามารถอธิบายอย่างชัดเจนได้ แสดงว่าคุณเองก็ยังไม่เข้าใจ เมื่อคุณอธิบายหัวข้ออะไรก็ตามให้ใครฟัง (แม้กระทั่งตัวเอง) คุณจะเผชิญกับช่องว่างในความรู้ของคุณ และด้วยเหตุนี้คุณสามารถเติมเต็มช่องว่างเหล่านั้นได้ (ดูขั้นตอนต่อไป) และถ้าคุณสามารถอธิบายบางสิ่งได้ มันก็จะช่วยเพิ่มความมั่นใจของคุณ
ทำเดี๋ยวนี้เลย:
- ใช้คำที่เข้าใจง่าย
- สร้างคำอุปมาอุปไมยง่าย ๆ ขึ้นมาหนึ่งอย่าง
ขั้นตอนที่ 3 ค้นหาช่องว่างและกลับไปยังแหล่งข้อมูล
ขณะที่คุณกำลังเขียน คุณอาจสะดุดกับคำถามว่า "ทำไมค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่จึงล่าช้า?" หรือ "จริง ๆ แล้ว คำว่า 'ซื้อมากเกินไป' หมายความว่าอย่างไรกันแน่?" อย่ากังวล แค่กลับไปอ่านหนังสือคู่มือ ดูตัวอย่างกราฟ หรือทบทวนในสมุดบันทึก แล้วเขียนคำอธิบายของคุณให้ดีขึ้นด้วยคำตอบที่ชัดเจน
ทำไมจึงได้ผล: กระบวนการเรียนรู้ใด ๆ ก็ตามล้วนต้องอาศัยการลองทำใหม่ซ้ำ ๆ นี่คือวิธีสร้างความรู้ของคุณ ท้ายที่สุด ทุกครั้งที่พูดว่า "ฉันไม่รู้" ก็จะกลายเป็น "ตอนนี้ฉันรู้แล้ว" มันเกี่ยวกับวิธีหยุดการเทรดแบบไร้เป้าหมายและเริ่มเห็นว่าเครื่องมือใดที่ใช้ได้ผลจริง
ทำเดี๋ยวนี้เลย:
- ทำเครื่องหมายจุดที่คุณติดขัด
- กลับไปทบทวนคู่มือ กราฟ หรือวิดีโอเพื่อเติมข้อมูลในส่วนที่ขาด
- เขียนคำอธิบายที่ถูกต้อง
ขั้นตอนที่ 4 จัดระเบียบ เพิ่มตัวอย่างจริง และสร้างคำอุปมาอุปมัย
ณ จุดนี้ บันทึกของคุณอาจดูรกยุ่งเหยิง ถึงเวลาที่จะแปลงข้อความเหล่านั้นให้เป็นคำอธิบายที่เรียบง่ายและมีโครงสร้าง พร้อมเพิ่มตัวอย่างตลาด: "เมื่อ EURUSD แตะเส้นแนวโน้มและ RSI ต่ำกว่า 30 ตลาดมีผู้ขายล้นหลามและอาจเกิดการเด้งตัวขึ้น" อย่าลืมสร้างคำอุปมาอุปมัยเปรียบเทียบด้วย เช่น: "RSI เปรียบเสมือนเทอร์โมมิเตอร์ของตลาดที่แสดงให้เห็นเมื่อราคาสูงเกินไปหรือต่ำเกินไป"
เพราะอะไรถึงได้ผล: ลำดับของคำพูด = ลำดับในการคิด คุณกำลังเปลี่ยนความรู้ให้กลายเป็นอัลกอริทึมการเทรดที่สามารถนำไปใช้ได้ด้วยความช่วยเหลือจากตัวอย่างในโลกจริงและคำเปรียบเทียบซึ่งง่ายต่อการจดจำและอธิบายมากขึ้น
ทำเดี๋ยวนี้เลย:
- เขียนบันทึกของคุณใหม่ให้เป็นรูปแบบที่มีโครงสร้าง
- เพิ่มกราฟหรือตัวอย่างตลาดหนึ่งรายการ
- สร้างคำอุปมาอุปมัยเปรียบเทียบของคุณเอง
ขั้นตอนที่ 5 ทดสอบตัวคุณเอง
จบด้วยการทดสอบความรู้ของคุณภายใต้ความกดดัน
ทดสอบย้อนหลังกับข้อมูลในอดีต
เปิดคำสั่งซื้อขายแบบทดลอง
อธิบายกลยุทธ์ของคุณให้กับเทรดเดอร์คนอื่นหรือแม้แต่พูดออกเสียงออกมาดัง ๆ กับตัวคุณเอง
เพราะอะไรถึงได้ผล: การทดสอบตัวเองช่วยทำลายภาพลวงตาว่าตนเองรู้จริง ตั้งคำถามกับทุกเครื่องมือ แทนที่จะเชื่อมันอย่างไร้เหตุผล
ทำเดี๋ยวนี้เลย:
- ฉันสามารถอธิบายสิ่งนี้ให้มือใหม่ฟังได้ไหม?
- ฉันสามารถแสดงตัวอย่างกราฟจริงได้ไหม?
- ฉันรู้ไหมว่าเมื่อไหร่ที่มันใช้ไม่ได้ผล?
- ฉันสามารถระบุข้อจำกัดที่ชัดเจนหนึ่งข้อได้หรือไม่?
เช็กลิสต์: ทดสอบความทนทานของตัวบ่งชี้ใด ๆ ภายใน 15 นาที
นี่คือรายการตรวจสอบสั้น ๆ ที่คุณสามารถบันทึกไว้และใช้ได้ทุกเมื่อที่ต้องการทดสอบตัวเอง:
เลือกเครื่องมือหนึ่ง (RSI, MA, เส้นแนวโน้ม)
เขียนคำอธิบายสั้น ๆ หนึ่งบรรทัด
เปิดกราฟจริง (EURUSD, XAUUSD, S&P500)
ตรวจสอบว่ามันใช้ได้ผลตรงไหน และล้มเหลวตรงไหน
ถามตัวเองว่า: ฉันเข้าใจอะไรบ้าง ฉันผิดพลาดที่ไหน และฉันจะใช้สิ่งนี้อย่างไรในครั้งหน้า?
การเทรดไม่ใช่การท่องจำชื่ออย่าง MACD หรือ Fibonacci retracement ทักษะที่แท้จริงคือการรู้ว่ามันเป็นเครื่องมือวัดอะไร ใช้ได้ผลเมื่อไร และล้มเหลวเมื่อไร ดาวน์โหลดเช็กลิสต์หนึ่งหน้าได้ด้านล่าง และทดสอบตัวบ่งชี้ใดก็ได้ภายใน 15 นาที